ผมนั่งอยู่ในร้านอาหารฟาสฟู้ดร้านหนึ่งในห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงใหม่ นั่งมองผู้คนมากหน้าหลายตาเดินผ่านไปมา ภาพเหล่านั้นดูช่างไกลจากตัวผม ดูเลือนลางราวกับมันไม่มีอยู่จริง ผมเอื้อมมือออกไปพยายามจะสัมผัสกับภาพคนเหล่านั้น แต่มือผมกลับสัมผัสกับกระจกใสที่เย็นเฉียบ บ้าชะมัด มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียว ทั้งๆ ที่ในร้านแห่งนี้ก็มีคนมากมายเต็มร้านแต่ราวกับว่าคนเหล่านั้นมองไม่เห็นตัวผม ผมกินอาหารที่วางอยู่ตรงหน้าเป็นคำสุดท้ายก่อนจะเดินออกมาจากร้านแห่งนั้น ผมเดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย ผมรู้แล้วว่าโลกนี้ไม่อาจตัดสินได้ด้วยตา สิ่งที่เห็นอาจไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ผมค้นพบสัจธรรมข้อนี้เมื่อไม่กี่วันก่อนนี้เอง
เมื่อวันก่อนตอนเย็นผมนั่งอยู่ที่โต๊ะหน้าร้านขายขนมหน้าหอสมุดของมหาวิทยาลัยรอเวลาที่ผมนัดผู้หญิงคนนั้นเอาไว้ ผู้หญิงในดวงใจของผม วันนี้ผมจะสารภาพรักกับเธอ ระหว่างที่รอสมองก็พาให้คิดไปเรื่อยย้อนไปจนถึงวันที่เราเพิ่งพบกันครั้งแรก
ผมเจอเธอครั้งแรกเมื่อเดือนก่อนในวิชาเรียนวิชาหนึ่งของคณะสังคมศาสตร์ พอดีผมเข้าห้องช้าแล้วมันไม่มีที่นั่งเหลือเลยยกเว้นข้างๆ ผู้หญิงคนหนึ่ง ผมเดินเข้าไปถามเธอด้วยความประหม่า
“ตรงนี้มีคนนั่งไหมครับ” เธอหันหน้ามาทำเอาหัวใจผมเกือบหยุดเต้น เธอไม่ตอบ ทำเพียงแต่ส่ายหน้าพอให้รู้ว่าไม่มี ผมนั่งข้างๆ เธอ ยอมรับเลยครับว่าวันนั้นผมเรียนไม่รู้เรื่องเลย หลังจากผมเข้าห้องมาได้ไม่นาน อาจารย์ก็เดินเข้ามาสอน แต่ก็นั่นแหละครับ เวลาเผลอพอรู้สึกตัวผมก็หันไปจ้องมองหน้าด้านข้างของเธอเสียแล้ว ผมมองสำรวจ ผมหยักโศกสีดำยาวเคลียแก้มสีชมพูระเรื่อ ปากเรียวเล็กสีแดงอ่อนๆ ตากลมโตสีดำเข้มมองไปที่อาจารย์อย่างใจจดใจจ่อ ตุ้งติ้งรูปจิ๊กซอร์มีตัว H อยู่ตรงกลางสีเงิน และมันทำให้ผมทราบว่าเธออยู่คณะมนุษย์ ส่วนผมน่ะอยู่คณะแพทย์ ช่างเป็นคู่ที่เหมาะสมกันจริงๆ และผมก็ได้ทราบชื่อของเธอโดยบังเอิญตอนที่เพื่อนร่วมคณะของเธอเรียกเธอด้วยเสียงดังลั่นห้องว่า “กระแตทางนี้โว้ย” เธอเองก็ไม่น้อยหน้าตะโกนกลับไปว่า “กูเห็นแล้ว” เสียงห้าวๆ ของเธอช่างไพเราะเสียจริง เสียงหวานห้าว ประกอบกับหน้าสวยๆ นั่นมันก็ทำให้ผมไม่มีสมาธิในการเรียนหนังสืออีกแล้ว หลังจากที่ผมทราบชื่อของเธอ ผมก็พยายามฝึกเรียกในใจเป็นร้อยๆ ครั้ง แต่ว่าก็ไม่เคยมีโอกาสที่จะได้เรียกจริงๆ สักที ผมเห็นเธอมาเรียนวิชานี้เพียงห้าครั้ง แต่ในห้าครั้งนั้นผมก็มีเหตุการณ์ประทับใจมากมายเหลือเกิน แม้สำหรับคนอื่นมันจะดูไม่มีค่าแต่สำหรับผมแล้วมันยิ่งใหญ่มาก
หลังจากที่ผมได้นั่งข้างเธอในคาบแรกแล้ว ผมก็ได้นั่งข้างเธออีกเรื่อยๆ เธอหันมายิ้มให้ผมตลอดเวลาที่เราสบตากัน ครั้งแรกที่เธอยิ้มให้ผม ผมเผลอทำหนังสือหล่นจากโต๊ะ เธอก็ก้มลงไปเก็บมาให้ผม พร้อมกับรอยยิ้มหวานส่งมาให้ผมอีกครั้ง ผมรีบขอบคุณเธอแล้วก็ไม่เงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะอีกเลย คาบต่อมาผมหันไปชวนเธอคุยเธอก็เพียงแต่หันมายิ้มให้เท่านั้นแต่แค่นั้นผมก็ดีใจสุดๆ แล้ว ก่อนออกจากห้องตอนหมดคาบนั้นเธอทำหนังสือตกผมรีบก้มลงไปหยิบให้ เธอพูดขอบคุณ ผมเพิ่งจะได้ยินเสียงของเธอใกล้ๆ ก็คราวนี้นี่แหละใจผมเต้นจนเกือบจะทะลุออกมานอกอก วันนั้นผมเอาแต่ยิ้มคนเดียวเหมือนคนบ้า แต่ทว่าหลังจากนั้นอีกคาบผมก็ไม่เห็นเธออีกเลย เธอขาดเรียนมาสามครั้งแล้ว ในใจผมรู้สึกกระวนกระวาย แม้เธอจะไม่อยู่แต่ในวิชานี้ผมก็เรียนไม่รู้เรื่องอยู่ดี ในที่สุดผมก็ตัดสินใจ ฝากให้เพื่อนของเธอบอกเธอให้มาพบกัน แม้เพื่อนของเธอจะถามว่าผมแน่ใจแล้วหรอที่ต้องการจะพบกระแต ผมก็ตอบกลับไปว่าผมมั่นใจและจะไม่รอให้มันช้ากว่านี้อีกแล้ว
“นายเรียกให้ฉันมาพบเหรอ” เสียงใสๆ เรียกให้ผมตื่นจากความทรงจำ ผมจำได้ดีเสียงนี้ ผมค่อยๆ หันหน้าไปหาเธอ แต่กลับเห็นเพียงผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งที่ยืนจ้องหน้าผมอยู่ “นายมีอะไรจะพูดกับฉันก็ว่ามา” เสียงนั้นเริ่มจะเจือความไม่พอใจเอาไว้หลังจากที่ผมเอาแต่จ้องหน้าเขาเป็นเวลานาน
“เอ่อ ฉันเรียกนายให้มาพบเรอะ?” ผมถามออกไปด้วยความไม่แน่ใจผมเรียกกระแตสาวสวยคนนั้น หรือเพื่อนของเธอจะแกล้งผมกันนะ
“ก็เอออ่ะเด่ะ” เสียงของอีกฝ่ายเริ่มมีการตะคอก
“นายจะบอกว่านายชื่อ กระแต และนายคือสาวสวยคนนั้น” ผมถามออกไป
“ก็ใช่ แล้วนายมีอะไรจะบอกฉันล่ะ”
“เอ่อ ถ้านายเป็นผู้ชายฉันก็ไม่มีอะไรจะบอกนายแล้วล่ะ ขอบใจนะที่มา” ผมตัดสินใจจะจากมาหลังจากที่จ้องหน้าเธอจนเริ่มรู้สึกได้ว่า ทั้งสองคนนี้มีใบหน้าเหมือนกันมาก เพียงแต่ว่ากระแตของผมนั้นผมหยักโศกสีดำยาวสลวย แต่ผู้ชายตรงหน้าเป็นผมทรงรากไทรสีแดงยาวระต้นคอ แต่ส่วนประกอบทุกอย่างบนใบหน้าก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นเธอคนนั้น
“ฮ่าๆ นายอย่าบอกนะว่านายหลงรักฉันที่แต่งเป็นผู้หญิงน่ะ จะให้ฉันแต่งเป็นผู้หญิงมาฟังไหมล่ะ” ผมรู้สึกเดือดขึ้นมาทันที ทำไมเขาต้องมาทำท่าเหมือนกับความรู้สึกของผมมันคือของเล่น เขามองมันราวกับมันเป็นของไร้ค่า ผมรู้สึกผิดหวังและเจ็บใจ แม้การได้ทราบว่าผู้หญิงที่ผมหลงรักนั้นเป็นผู้ชาย แต่มันยังไม่เท่ากับรู้สึกว่าคนที่ผมรักจะเป็นคนที่เห็นความรู้สึกของคนอื่นเป็นเหมือนของเล่น ผมทำหน้าผิดหวังส่งไปให้เธอก่อนจะเดินหันหลังจากมา แต่มือของเธอก็ดึงมือผมเอาไว้ให้กลับไปเผชิญหน้ากัน
“ฉันขอโทษ ไม่รู้ว่านายจะจริงจังขนาดนี้ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้นายเข้าใจผิด แต่ฉันพนันกับเพื่อนไว้น่ะว่า ถ้ากล้าแต่งเป็นผู้หญิงมาเรียนหนึ่งเดือน มันจะเลี้ยงข้าวให้ตลอดเทอมน่ะ ” ผมสะบัดมือออกจากการกุมมือของกระแตแล้วก็เดินจากมาโดยไม่หันหลังกลับไปอีกเลย
หลังจากที่เดินไปอย่างไร้จุดหมายแล้วผมก็ตัดสินใจว่าจะไปดูหนังซึ่งตอนนี้ก็เป็นหนังรอบสุดท้ายแล้วพอดูหนังจบผมก็ตรงกลับบ้านเนื่องจากว่ามันดึกมากแล้วพรุ่งนี้ผมจะต้องไปเรียนแต่เช้า ผมเดินมาที่ลานจอดรถแล้วก็ขับรถออกมาจากห้างสรรพสินค้ามุ่งหน้ากลับหอพัก ผมติดไฟอยู่ที่สี่แยกใกล้ๆ หอพัก พอไฟเขียวปุ๊บผมก็เหยียบคลัชเร่งทันทีส่งรถให้พุ่งออกไปด้วยความรวดเร็ว แต่แล้วกลับมีเสียงบีบแตรดังขึ้น ไฟจากรถคันอื่นส่องมาที่รถผม โครม! เสียงรถชนรถกัน แล้วผมก็หมดสติไปทันที
ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาตอนสายก็พบว่าตัวเองได้มาอยู่ที่โรงพยายาบาลเสียแล้วแต่นั่งนอนอยู่ตรงที่นั่งรอหมอน่ะนะ อาจเพราะแผลที่ร่างกายมีไม่มากนัก แค่แผลถลอกนิดหน่อย พอผมรู้สึกตัวผมก็เลยผมก็นั่งรถแดงกลับมาหอ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จผมก็นั่งรถแดงมาที่มหาวิทยาลัยทันที
ในคาบเรียนตัวของคณะสังคมศาสตร์ วันนี้อาจารย์มีบางอย่างมาประกาศ อาจารย์บอกว่ามีเด็กในชั้นเรียนวิชานี้เสียชีวิต มันทำให้ผมรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ผมเลยไม่ได้ฟังต่อไปอีกว่าเป็นใคร ผมเสมองไปทางนอกหน้าต่างก็หันไปสบตากับเพื่อนของกระแตแล้วเธอก็ส่งยิ้มบางๆ มาให้ผม แต่ผมไม่อาจทำใจส่งยิ้มกลับไปให้เธอได้เมื่อคิดว่าเธอเองก็สมรู้ร่วมคิดกับกระแต ผมอยากรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงทำแบบนั้น ท้ายคาบผมดึงตัวเธอเอาไว้ในห้องหลังจากที่ทุกคนออกไปหมดแล้วผมก็ถามขึ้น
“ทำไมเธอไม่บอกฉันว่ากระแตเป็นผู้ชาย”
“นายรู้ได้ยังไงว่ากระแตเป็นผู้ชาย” เธอถามกลับมาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก คงตกใจล่ะสิที่ผมรู้ความจริงแล้ว
“ก็เมื่อวานเขามาเจอฉันตามนัดไง พวกเธอทำแบบนี้ได้ยังไง ทำไมไม่บอกฉันก่อนว่าเขาเป็นผู้ชาย พวกเธอก็น่าจะรู้นี่นาว่าที่ฉันนัดเธอไปน่ะก็เพื่อจะสารภาพรัก” ผมเริ่มตะโกนเสียงดังใส่พวกเธอเมื่อความรู้สึกผิดหวังในเรื่องนั้นมันปรากฎขึ้นมาอีกครา
“นายจะเจอเขาได้ยังไง ในเมื่อเขาตายไปแล้วน่ะ เพิ่งตายไปเมื่อวานนี้เองเขาจะมาพบนายได้ยังไง” เธอตอบกลับมาด้วยเสียงเบา ราวกับหมดแรงพูด
“เธอโกหก จะตายได้ยังไง ก็ในเมื่อเขามาหาฉันที่หน้าร้านขนม”
“ถ้าเธอไม่เชื่อฉันจะพาไปดู” เธอจูงมือผมออกมานอกห้องแล้วมุ่งหน้าไปวัดแห่งหนึ่ง เราสองคนเดินไปจนถึงศาลาสวดศพ เห็นผู้หญิงวัยกลางคนนั่งร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้ากรอบรูปขาวดำของผู้ชายหน้าหวานคนหนึ่งตั้งอยู่บนขาตั้งรูปประดับด้วยดอกไม้ เพื่อนของกระแตเดินเข้าไปหาผู้หญิงคนนั้นแล้วยกมือไหว้
“มาคนเดียวหรือจ๊ะนัน” ผู้หญิงวัยกลางคนคนนั้นทักขึ้นเมื่อเงยหน้ามาเห็นเพื่อนของกระแต ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือที่พยายามจะซ่อนความโศกเศร้าจากการเสียลูกชายอันเป็นที่รักไป
“มากับเพื่อนค่ะ” นันตอบกลับไปแล้วผายมือมาทางผม ผู้หญิงคนนั้นที่ผมสันนิษฐานว่าเป็นแม่ของกระแตหันมาทางผมด้วยสายตาว่างเปล่า ดวงตาที่บอบช้ำจากการร้องไห้เป็นเวลานานมันทำให้ผมรู้สึกเสียใจไปด้วยแต่แล้วแม่ของกระแตก็ทำหน้าตกใจ
“ก็ไม่เห็นมีใครนี่จ๊ะ อย่าแกล้งแม่สิ” พอเธอพูดจบนันก็ทำหน้าตาตกใจเมื่อหันมามองผมแล้วพยายามจะคว้ามือของผม แต่กลับคว้าได้แต่อากาศ
+++++++
++++++++++++
+++++++++++++++++
เป็นยังไงมั่งค่ะ เม้นบอกหน่อยก็ดีนะคะ จะได้เอาไปปรับปรุงในการเขียนเรื่องใหม่ให้ดีขึ้นกว่าเดิม ^O^
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น